ความเป็นไปต่อมา (อัพเดทเหตุการณ์ต่อจากบันทึกก่อน)
การแนะนำให้นิสิตชมรมตามรอยเท้าพ่อทดลองเอาผักตบชวามาบำบัดน้ำเสียและวัดค่าคุณภาพน้ำเป็นระยะที่ผ่าน มุ่งประโยชน์ด้านการเรียนรู้วิธีการ "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ของนิสิตในชมรมเป็นสำคัญ มุ่งหวังผลด้านการศึกษาและเรียนรู้วิธีการใช้ "อธรรมปราบอธรรม" ตามหลักการทรงงาน การมุ่งหวังจะบำบัดหรือป้องกันน้ำในสระเสียนั้น เกินกำลัง เกินศักยภาพของชมรมฯ (ปริมาณผักตบชวาต้องมีมากกว่าที่เห็นเยอะ ไม่น่าจะควบคุมได้ไหว)... ผู้สนใจอ่านบันทึกที่ผ่านมาอย่างละเอียดเถิด (บันทึก ๑ และ ๓ )
ช่วง ๒ เดือนก่อน เกิดความเข้าใจผิดของนิสิตส่วนหนึ่ง (น่าจะกลุ่มใหญ่พอสมควร ผมเข้าใจอย่างนั้น) ว่า ผักตบชวาที่ชมรมฯ เอามาลงสระนั้น เป็นต้นเหตุของน้ำเสียในสระ กอปรกับแปลงผักตบชวาที่แตกกระจายไปอยู่ตามขอบรอบสระประปราย ทำให้ดูไม่เรียบร้อย (เหตุเพราะกำลังคนน้อย) แม้ว่าชมรมจะจัดระเบียบแปลงผักตบชวาส่วนใหญ่ ไปผูกไว้ข้างสะพานรื้อผักตบแล้ว ทั้งที่ความจริงผักตบช่วยดูดซับสารอาหารและสารโลหะหนักในน้ำทำให้น้ำดีขึ้น (ตามที่ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว) ความเข้าใจผิดนี้ทำให้เกิดการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางในบรรดากลุ่มแกนนำนิสิต ... ซึ่งถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีโดยบังเอิญ
ผมได้เรียนไปในบันทึกที่แล้ว (บันทึกที่ ๔) ว่าผมเป็นผู้ทำ "สะพานรื้อผักตบชวา" ขึ้นมาเอง เป็นสะพานไม้ชั่วคราว ด้วยเหตุผลว่า หากปล่อยไว้นานเกินไปจะไม่สามารถควบคุมผักตบชวาได้ ไม่สามารถจะรอให้นิสิตทำโครงการทำเองตามปกติ และตามทฤษฎีจะต้องลงเก็บผักตบชวาที่แก่เต็มที่ออกจากแปลงทุก ๆ ๔๕ วัน รวมถึงแผนที่จะส่งเสริมให้นิสิตทดลองสร้างผลิตภัณฑ์จากผักตบชวา สร้างสรรค์และพัฒนาให้เกิดปัญญาปฏิบัติ (Phronesis) ต่อไป ... มหาวิทยาลัยเป็นเหมือนบ้านของผม ผมเห็นอะไรจะดีต่อบ้านหลังนี้และทำได้ ผมจะทำเลยทันทีหลังจากที่ใคร่ครวญดีแล้วว่าเกิดผลดีกับมหาวิทยาลัย และไม่ส่งผลเสียต่อใครแน่ๆ
ผมเองรู้ดีและมั่นใจว่าผักตบชวาสามารถบำบัดน้ำเสียได้จริง (เหมาะสมกับปริมาณที่มี) และเป็นเพราะผักตบชวานั่นเองที่ทำให้ส่วนสระน้ำทิศตะวันตกเฉียงใต้ใกล้สามแยกไฟแดงไม่ส่งกลิ่นเหม็น แต่ผมตั้งใจพานิสิตรื้อผักตบชวาบริเวณนั้นออกด้วย เอาผักตบไปรวมไว้ไกลฝรั่งข้างถนน เพื่อไม่ให้ไปรกหูตาของผู้สัญจรไปมาและรวบรวมไว้ให้สามารถควบคุมปริมาณได้... เพียง ๒ สัปดาห์น้ำเสียบริเวณนั้นส่งกลิ่นเหม็นจนกลายมาเป็นประเด็นให้เกิดการอภิปรายกันมาก แม้ว่านิสิตหลายคนอาจไม่เข้าใจ แต่การ "ชี้แจงเชิงประจักษ์" ครั้งนี้ สามารถทำให้ทุกคนเห็นชัดว่าผักตบชวาแก้ปัญหากลิ่นและน้ำได้จริง ... สิ่งที่คุ้มค่าที่สุดก็คือ การทำให้สมาชิกชมรมฯ เอง เกิดความมั่นใจและศรัทธากับการแก้ปัญหาตาม "ศาสตร์พระราชา" ที่เราเพียรทำมาตั้งแต่ต้น
ความรู้เรื่องน้ำเสีย
น้ำเสียคือน้ำที่นำไปใช้ไม่ได้ ปลาอาศัยอยู่ก็ไม่ได้ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย นักวิทยาศาสตร์บอกว่าน้ำเสียหรือไม่ด้วยค่า DO (Dissolved Oxygen) คือ ปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ น้ำเสียจะมีค่า DO น้อยกว่า ๓ มิลลิกรัมต่อลิตร ถ้าค่า DO มีค่าตั้งแต่ ๓ ขึ้นไป จัดไว้ว่าเป็นน้ำดี
น้ำเสียสามารถแบ่งออกได้เป็น ๕ ประเภท ตามชนิดของสารเคมีหลักที่เป็นเหตุให้เกิดน้ำเสีย ได้แก่
- น้ำเสียที่เกิดจากสารอินทรีย์ ซึ่งเกิดจากน้ำกินน้ำใช้ไหลลงสู่แหล่งน้ำ นักวิทยาศาสตร์จะพิจารณาค่าน้ำเน่าเสียจากค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) เป็นค่าที่บ่งบอกปริมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียต้องการในการย่อยสลายสารอินทรีย์ น้ำที่มีค่า BOD ตั้งแต่ ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อลิตรขึ้นไปจัดเป็นน้ำเสีย ส่วนน้ำที่มีค่า BOD น้อยกว่า ๑๐๐ ถือเป็นน้ำดี
- น้ำเสียที่เกิดจากสารเคมี ซึ่งมักเกิดจากการปล่อยหรือทิ้งสารเคมีลงในแหล่งน้ำ หรือเป็นน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์จะวัดค่าน้ำเสียประเภทนี้ด้วยค่า COD (Chemical Oxygen Demand) คือ ปริมาณของออกซิเจนที่ต้องการในการออซิไดซ์เพื่อให้ได้คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ค่า COD จะมากกว่า BOD เสมอ ... ค่า DO, BOD จะบอกว่าน้ำเสียหรือไม่ ค่า COD จะบอกว่า น้ำนั้นเสียเพราะสารอินทรีย์หรือสารเคมี
- น้ำเสียในรูปแบบของสารแขวนลอย คือน้ำเสียที่มีสารแขวนลอยผสมอยู่มาก นักวิทยาศาสตร์จะพิจารณาปริมาณสารแขวนลอยด้วยค่า TDS (Total Dissolved Solid) และวัดค่าความเป็นกรด-เบสด้วย
- น้ำเสียประเภทที่มีโลหะหนัก (จากโรงงานอุตสาหกรรม)
- น้ำเสียจากสารเคมีอื่น ๆ
วิธีการบำบัดน้ำเสียอาจแบ่งได้เป็น ๓ ประเภทตามระดับความรุนแรงของการเน่าเสีย ได้แก่
- การบำบัดทางกายภาพ สำหรับน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือชุมชนขนาดใหญ่ ได้แก่วิธีต่างๆ ต่อไปนี้ เช่น
- การดักขยะขนาดใหญ่
- การดักไขมันและน้ำมัน
- การตกตะกอนด้วยสารเคมี
- การกำจัดสารโลหะหนัก
- การบำบัดทางชีวภาพ คือการบำบัดน้ำเสียโดยใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ เหมาะสำหรับน้ำเสียจากชุมชนขนาดใหญ่หรือน้ำเสียจากนิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ สามารถแบ่งออกได้ตามประเภทของจุลินทรีย์ เป็น ๒ ประเภท ได้แก่
- จุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศ (ออกซิเจน) ในการเจริญเติบโต และ
- จุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ
- วิธีการบำบัดน้ำเสียโดยใช้จุลินทรีย์ที่ต้องใช้ออกซิเจนคือ ต้องเติมอากาศลงไปในน้ำโดยทำให้น้ำเคลื่อนไหวไหลวนหรือใช้กังหันตีฟองล่องลอยไปในอากาศก่อนตกลงไปในน้ำ ทำให้แบคทีเรียได้รับออกซิเจน จึงจะขยายตัวเปลี่ยนสารอินทรีย์ในน้ำ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ พลังงาน และเซลล์ใหม่ ซึ่งจะจับกันเป็นตะกอนหล่นลงก้อนสระ
- วิธีบำบัดน้ำเสียโดยใช้จุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน เป็นที่นิยมมากสำหรับการบำบัดน้ำเสียจากชุมชน เพราะทำได้ง่าย ทำเป็นก้อนจุลินทรีย์แล้วโยนลงในน้ำ แต่ปัญหาคือ ผลิตผลที่ได้จากการย่อยสลายสารอินทรีย์นั้นเป็นก๊าซมีเทนและมีกลิ่นเหม็น
(ที่มา http://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/6_2548/OccHealth.htm )
การบำบัดน้ำเสียด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis
จุลินทรีย์ที่ ดร.เพชร นำมาพาฉีดวันนี้ ชื่อ แบคซิลลัส ซัปทิลลิส (bacillus subtillis) ความจริงท่านบอกว่ามี ๗๗ ชนิด แต่ชนิดนี้เป็นหลัก เป็นแบคทีเรียชนิดใช้ออกซิเจน เป็นผลงานวิจัยของหน่วยงานเทคนิคเกษตรของญี่ปุ่นและใต้หวัน เป็นจุลินทรีย์ที่ขยายพันธุ์เร็ว เพิ่มขึ้นเป็นแสนเท่าภายใน ๒๐ นาที เป็นแบคทีเรียนที่เข้มแข็ง ปลอดภัย ไร้สารพิษ มีสรรพคุณ ดังนี้
- รักษาความชื้นได้อย่างแข็งขัน ดีเยี่ยม ในกรณีที่ฉีดที่ผิวดิน
- มีพลังในการย่อยสลายที่เข้มข้น ขยายพันธุ์รวดเร็ว
- สร้างสรรค์สารอินทรีย์ต่างๆ ที่เป็นอาหารพืชสัตว์ได้มากมายหลายชนิด
- มีพลังในการยึดครองพื้นที่ ป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดี ป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคขยายตัว
- กำจัดกลิ่นเหม็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถขจัดกลิ่นของสารประกอบอินทรีย์ประเภทกัมมะถัน ไนโตรเจน ทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น
การฉีดวันนี้ผสมด้วยอัตรา ๑ ฝา ต่อน้ำ ๒๐๐ ลิตร ท่านบอกว่า หมดน้ำยาไป ๑.๕ ลิตร (ขวดครึ่ง ราคาขวดละพันกว่าบาท) ท่านแสดงภาพก่อน กำลัง และหลังฉีดไว้ดังภาพนี้
(ขอขอบคุณภาพจากเฟสบุ๊ค ดร.เพชรครับ)
ช่วงเย็นวันนี้ก่อนจะกลับมาบ้าน ผมเดินไปพิสูจน์กลิ่น ... ผมไม่ได้กลิ่นเหม็นแล้วครับ อาจจะเพราะชินหรือฝนเพิ่งตกไม่รู้ วันจันทร์นี้ไปดูอีกที ...
สุดท้ายนี้ก็ขออนุโมทนาบุญกับ ผศ.ดร.เพชร เพ็งชัย อีกครั้งครับ ทางชมรมตามรอยเท้าพ่อ ได้มอบพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ลายเส้นที่ประธานชมรมฯ เพียรวาดด้วยตนเอง เพื่อมอบให้เป็นสัญลักษณ์แทนความขอบคุญจากทางชมรมฯ ... ผมรู้สึกว่าเด็กๆ รู้สึกภูมิใจและมีความสุขมาก